top of page

การติดตั้งหินธรรมชาติ: แบบแห้ง vs แบบเปียก เลือกอย่างไรให้เหมาะกับงาน

การติดตั้งหินธรรมชาติ

การใช้ หินธรรมชาติ ในงานก่อสร้างและตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็นพื้น ผนัง หรือสระว่ายน้ำ ล้วนต้องให้ความสำคัญกับวิธีการติดตั้ง เพราะมีผลต่อความทนทาน อายุการใช้งาน รวมถึงความสวยงาม โดยหลัก ๆ การติดตั้งหินมีอยู่ 2 วิธีที่นิยม คือ การติดตั้งแบบแห้ง (Dry Installation) และ การติดตั้งแบบเปียก (Wet Installation) ซึ่งแต่ละวิธีก็มีจุดเด่นและข้อควรระวังที่ต่างกันออกไป การเลือกใช้วิธีใดจึงไม่สามารถพิจารณาจากงบประมาณเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูองค์ประกอบอื่นร่วมด้วย เช่น ลักษณะของพื้นที่ใช้งาน ความชื้น อุณหภูมิ ความสูงของผนัง ภาระน้ำหนักที่โครงสร้างต้องรับ รวมถึงความเชี่ยวชาญของทีมช่าง หากเลือกวิธีติดตั้งที่เหมาะสม จะช่วยให้หินธรรมชาติคงความสวยงามและมีอายุการใช้งานยาวนานหลายสิบปี แต่หากเลือกวิธีที่ไม่เหมาะสม อาจเกิดปัญหาตามมา เช่น การแตกร้าว การหลุดร่อน หรือเกิดคราบด่างที่แก้ไขได้ยาก


การติดตั้งหินธรรมชาติ



1. การติดตั้งหินธรรมชาติ แบบแห้ง (Dry Installation)


การติดตั้งหินธรรมชาติ แบบแห้ง คือ การใช้โครงสร้างเหล็ก อลูมิเนียม หรือวัสดุยึดจับพิเศษ (Bracket, Clip, Anchor) ในการติดตั้งหินเข้ากับพื้นหรือผนัง ไม่ใช้ปูนซีเมนต์หรือกาวซีเมนต์มากนัก นิยมใช้กับงานผนังภายนอกอาคาร (Ventilated Facade) หรือพื้นที่ที่ต้องการลดน้ำหนักโครงสร้าง

การติดตั้งหินธรรมชาติ
ตัวอย่าง วิธีการติดตั้งหินแบบแห้ง

ขั้นตอนการติดตั้งแบบแห้ง

1. เตรียมพื้นที่ – ตรวจสอบความแข็งแรงของผนังหรือพื้น ทำความสะอาดให้ปราศจากฝุ่นและเศษวัสดุ

2. กำหนดแนว – ทำเครื่องหมายแนวควบคุมและระดับให้ตรง

3. ติดตั้งโครงยึด – ใช้โครงเหล็ก, Bracket หรือ Clip ยึดหินตามตำแหน่งที่กำหนด

4. แขวนหิน – วางหินเข้ากับโครง ปรับระดับและระยะห่างระหว่างแผ่นให้เท่ากัน

5. ตรวจสอบความเรียบและช่องว่าง – ตรวจสอบแนวระดับและความเรียบร้อย

6. ปรับแต่ง/แก้ไข – สามารถถอดหรือปรับหินได้ง่ายหากต้องการ

7. ทำความสะอาด – เช็ดฝุ่นหรือเศษวัสดุที่เหลือ


ข้อดี

• น้ำหนักเบา ลดภาระต่อโครงสร้างอาคาร

• ระบายอากาศและความชื้นได้ดี ป้องกันการรั่วซึมและเชื้อรา

• แผ่นหินสามารถถอดเปลี่ยนได้ง่ายเมื่อต้องการซ่อมแซม

• งานดูเรียบร้อย สมัยใหม่


ข้อเสีย

• ค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีเปียก เพราะใช้วัสดุและเทคนิคเฉพาะ

• ต้องใช้ช่างที่มีความชำนาญสูง

• ไม่เหมาะกับพื้นที่เล็กหรือรายละเอียดซับซ้อน




2. การติดตั้งหินธรรมชาติ แบบเปียก (Wet Installation)


ใช้ปูนซีเมนต์ กาวซีเมนต์ หรือปูนทรายในการยึดหินเข้ากับพื้นหรือผนัง เป็นวิธีดั้งเดิมที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะงานพื้นและงานตกแต่งภายใน


การติดตั้งหินธรรมชาติ
ตัวอย่าง การติดตั้งหินบบเปียก

ขั้นตอนการติดตั้งแบบเปียก

1. เตรียมพื้นที่ – ตรวจสอบพื้น/ผนังเรียบ แข็งแรง ทำความสะอาด และปรับสภาพผิวก่อนติดตั้ง

2. กำหนดแนวและลวดลาย – วาง Reference Line และวางแผนลวดลายเพื่อหลีกเลี่ยงการตัดหินมากเกินไป

3. ผสมปูนหรือกาว – ผสมให้ได้เนื้อเหนียวพอเหมาะ ใช้ปูนหรือกาวทนความชื้นสำหรับพื้นที่เปียก

4. ทาปูน/กาวและวางหิน – ปาดปูนบนพื้นหรือด้านหลังหิน วางหิน กดแน่น ปรับระดับและช่องว่างด้วย spacer

5. รอปูนเซ็ตตัว – ประมาณ 24–48 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความหนาและสภาพอากาศ

6. ยาแนว (Grouting) – เติมปูนยาแนวในช่องว่าง เช็ดคราบส่วนเกินและปล่อยให้เซ็ตตัว

7. ทำความสะอาดและตรวจสอบ – ตรวจสอบความเรียบ ยึดแน่น และทำความสะอาดผิวหน้าหิน


ข้อดี

• ค่าใช้จ่ายถูกกว่าวิธีแห้ง

• ใช้ได้กับพื้นที่หลากหลายทั้งภายในและภายนอก

• หาช่างทำได้ง่าย เพราะเป็นวิธีที่ใช้กันทั่วไป


ข้อเสีย

• เสี่ยงต่อการเกิดคราบด่างหรือเชื้อราหากการกันซึมไม่ดี

• เมื่อเกิดการแตกร้าวหรือชำรุด ซ่อมแซมได้ยากกว่าวิธีแห้ง

• ระยะเวลาติดตั้งและการเซ็ตตัวของปูนอาจนานกว่า


สรุปการเลือกใช้งาน

• งานภายนอกอาคารหรือผนังสูง → เหมาะกับการติดตั้งแบบแห้ง เพราะช่วยลดน้ำหนักและป้องกันความชื้น

• งานพื้นภายในบ้าน พื้นสระว่ายน้ำ หรือพื้นที่ที่งบประมาณจำกัด → นิยมใช้การติดตั้งแบบเปียก

• โครงการที่ต้องการความทันสมัยและบำรุงรักษาง่าย → เลือกติดตั้งแบบแห้ง แม้ราคาสูงกว่า


จริงๆแล้วการเลือกวิธีติดตั้งหินควรพิจารณาตาม ลักษณะงาน พื้นที่ใช้งาน งบประมาณ และความชำนาญของผู้ติดตั้ง หากต้องการความประหยัดและสะดวก การติดตั้งแบบเปียกยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่หากโครงการให้ความสำคัญกับความคงทนในระยะยาวและภาพลักษณ์สมัยใหม่ การติดตั้งแบบแห้งก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์



ความคิดเห็น


RECENT POSTS

ARCHIVE

bottom of page